เอนไซม์น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง ตอนที่ 1 

       ที่มา : มูลนิธิภูมิปัญญาสากล

สำหรับการทำน้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์เพื่อการบริโภคนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำสมอดองถือเป็น “ น้ำอมตะ และยาอายุวัฒนะ แห่งการรักษาชีวิต”

               ซึ่งหากจะแปลความจากการวิเคราะห์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ น้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์ ก็คือ น้ำมูตรเน่าเถ้าดองที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก สารอินทรีย์ที่ได้จากการหมักนั้นได้ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์แก่มวลมนุษยชาติมานานนับพันปี

              เกือบยี่สิบกว่าปีแห่งการค้นคว้า คณะสงฆ์เครือข่ายภาคอีสาน และชมรมบ้านสุขภาพ ได้ร่วมกันศึกษาและค้นคว้าพืชผักผลไม้ สมุนไพรต่างๆ นานาชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทย

             เราพบว่าการนำผักผลไม้มาหมักดอง ตามทฤษฎีการแตกตัวของอนุมูลสารอาหาร เพื่อให้เกิดการซึมของน้ำหมัก ซึ่งจะได้สารอาหารซึ่งอยู่ในรูปของสารละละลาย ครบ 5 หมู่ ตามความต้องการของร่างกายในสภาวะฟื้นฟูและดูแลจากขบวนการหมัก

             “สารอาหารที่ออกมานั้นอยู่ในรูปของ กรดอะมิโนจากโปรตีน พลังงานจากแป้ง ไวตามินและแร่ธาตุจากผักผลไม้”

             ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น สารอาหารที่ร่างกายต้องการในระดับต่างๆ กัน ในกรณี “ สมุนไพร” ก็เช่นกัน นอกจากจะได้สารอาหารต่างๆ แล้วยังทำให้ สมุนไพร ออกฤทธิ์ในการรักษามากขึ้น แต่ไม่มีผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์ จากน้ำยาง แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่หมักนานกว่า 5 ปี จึงจะมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกรดอะมิโน ไวตามิน เกลือแร่ และออกซิเจนจะอออกฤทธิ์อยู่ในรูปสารละลาย และไม่มีผลข้างเคียง

            สารละลายที่ได้รับจากขบวนการหมักดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นตัวลดการเผาผลาญเกินในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิด เซลล์ผิดปกติต่างๆ เช่น เซลล์เนื้องอก เซลล์มะเร็ง เซลล์ที่เกิดการรวมตัวแบบแยกส่วน (MCTD : MIXED CONNECTIVE TISSUE DIESEASE) หรืออาการภูมิแพ้ หรือภูมิแพ้ตนเองให้ลดลง และปรับฮอร์โมนให้ปกติ

 

อาการเผาผลาญเกิน จนเกิดเซลล์ผิดปกติ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

            อาการเหล่านี้เกิดจากสภาวะพร่องฮอร์โมน 4 ตัว คือ อะดรีนาลีน คอร์ติโซน

เอนโดรฟีน และเมลาโทนีน เมื่อเกิดสภาวะบกพร่องของฮอร์โมนดังกล่าว

จะทำให้เกิดสภาวะแก่ชราของเซลล์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร และเข้าสู่

สภาวะติดเชื้อในระดับต่างๆ และสุดท้ายร่างกายจะทนทานต่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้

ซึ่งโดยเฉพาะ การส่งผลกระทบถึงสารสำคัญ 2 ชนิด คือ

อินเตอร์พีรอน ( Interferon) และทัฟซิน ( Tulfsin)

ซึ่งสร้างขึ้นในระดับเซลล์และม้ามที่สมบูรณ์

            การผลิตน้ำหมักชีวภาพ เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาพื้นบ้านและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการที่จะได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์อย่างไรนั้น จำเป็นที่จะต้องมองถึงองค์ประกอบสำคัญในเรื่องวัตถุดิบ รวมไปถึงสัดส่วน และระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตเอนไซม์

            สารสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ หากปฏิบัติถูกวิธีก็จะให้สารที่มีคุณประโยชน์ต่อการบริโภค กล่าวคือ เมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นผลดีต่อร่างกาย เช่น จุลินทรีย์แลคติก กรดอะมิโน กรดแลคติก และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

ทำไมถึงเรียก “เอนไซม์”

            เอนไซม์ คือโปรตีนที่คัดหลั่งมาจากเซลล์ที่มีฤทธิ์กระตุ้น ทำให้เกิดการ

เปลี่ยนแปลงในทางเคมีกับสารอื่นๆ โดยตัวมันเองไม่เปลี่ยนแปลง 

ชื่อ เอนไซม์ ถูกเสนอโดยนักสรีรวิทยาชาวเยอรมันในปี 1867 มาจาก

กลุ่มคำศัพท์ “Enzyme” เป็นคำเรียกสารที่มีโปรตีน และไวตามินอยู่ร่วมกัน

และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อย       

กระนั้นเอนไซม์ยังจำแนกได้อีก 700 กว่าชนิด

Interferon และ Tulfsin

            เซลล์เป็นผู้กระทำให้เกิดสาร อินเตอร์พีรอนดังกล่าวขึ้น ในสภาวะที่เซลล์แข็งแรง

เมื่อเกิดการตายของเซลล์มากขึ้น จากสภาวะบกพร่องของฮอร์โมนทั้ง 4 ตัวดังกล่าว

สารอินเตอร์ฟีรอนก็จะไม่ถูกสร้าง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเหนี่ยวนำ

ให้เกิดการลดสาร ทัฟซิน ( Talfsin) ซึ่งเกิดจากม้าม

            ม้าม คือ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่รักษาระดับของ ทัฟซิน

การหมักน้ำเอนไซม์ มีกระบวนการทางเคมีทางทฤษฏีของการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลจากผลไม้เป็นกรดน้ำส้ม สูตรทางเคมีคือ CH3COOH เมื่อสารละลายน้ำแล้ว น้ำส้มสายชูก็จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของโอโซน (O3) ซึ่งไวต่อการทำลายเซลล์ตายและให้กำลังเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่

            CH3COH + O + O2 ———->  O3 + 2H2O + 2C(Ash)

            กลุ่มทางเคมีในรูปของเอนไซม์ ที่มีชื่อว่า “ อะเซททิล โคเอ” (Acetyle Co-A) ทำหน้าที่ควบคุมเอนไซม์ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ทำให้สารอินทรีย์ถูกย่อยเปลี่ยนรูปเป็น กรดน้ำส้มสายชู และเพิ่มโอโซนธรรมชาติในชั้นบรรยากาศมากขึ้น

            ดังนั้น เอนไซม์ คือ สารที่เกิดจากขบวนการแตกตัวสารอาหารด้วยขบวนการ IONIC DISCHARGE

            ซึ่งจะให้สารอาหารที่อยู่ในรูปของ อิออนบวกและลบ ทำให้เกิดการสลายอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้เกิดเป็นอนุมูลธาตุ ทำให้เซลล์ลดการตายลงและมีชีวิตต่อไปได้

            เมื่อร่างกายได้รับเอนไซม์จากขบวนการดังกล่าวจะช่วยทำให้เซลล์ และขบวนการทางเคมีต่างๆ ในร่างกายเกิดสภาวะสมดุล จนเกิดการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

             ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ กรดอะมิโน สารอาหารในกลุ่มโปรตีน ไวตามิน และเกลือแร่ คือ ไวตามินบีรวม บี1 บี 2 บี 12 แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และชะล้างส่วนที่ตายแล้วให้ออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมนู